สวัสดีครับ วันนี้ผมจะมารีวิวทริปเกาะ Santorini ประเทศกรีซ ก่อนที่จะเล่าถึงรายละเอียด ผมขอเกริ่นก่อนว่า ทริปนี้เป็นทริปเมื่อหลายปีก่อน ซึ่งขณะนั้นผมเรียนอยู่ที่ประเทศอังกฤษ การเดินทางครั้งนี้จึงเป็นการบินจากอังกฤษไปประเทศกรีซ ไม่ใช่จากประเทศไทยครับ ซึ่งทริปนี้เป็นส่วนหนึ่งของการเดินทาง 21 วัน 5 ประเทศ ซึ่งประกอบไปด้วย กรีซ, ฮังการี, ออสเตรีย, เช็ค, และเยอรมัน ครับ ซึ่ง Part แรกก็คือประเทศกรีซซึ่งเวลาส่วนใหญ่อยู่บนเกาะ Santorini ครับ
สำหรับการเตรียมตัวก่อนการเดินทางนั้น อย่างที่ทุกท่านทราบกันดีว่าประเทศกรีซประสบปัญหาเศรษฐกิจอย่างหนักหลังจากการเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกในปี 2004 ทำให้ส่งผลต่อสภาพปัญหาสังคมด้วย ช่วงก่อนที่ผมจะเดินทางนั้นมีข่าวการประท้วงปิดสนามบินของประชาชนที่ไม่พอใจนโยบายของรัฐบาล ซึ่งสิ่งที่ผมต้องการจะแนะนำก็คือ ต้องเช็คข่าวสารด้านความปลอดภัยให้ดีก่อนการเดินทางครับ อีกประเด็นคือปีที่ผมเดินทางนั้นกรีซยังเป็นสมาชิกในสหภาพยุโรป (EU) ขณะที่ท่านอ่านอยู่ไม่แน่ใจว่ากรีซจะยังเป็นสมาชิกอยู่หรือไม่ ซึ่งการอยู่ในสหภาพยุโรปหมายความว่ากรีซยังใช้เงินสกุลยูโรอยู่ และในการรีวิวครั้งนี้ผมจะแจกแจงค่าใช้จ่ายเป็นเงินสกุลยูโรทั้งหมดครับ
ประเทศกรีซเป็นประเทศหมู่เกาะ ซึ่งรายได้ของประเทศส่วนใหญ่มาจากการท่องเที่ยวตามหมู่เกาะต่างๆ นอกจากเกาะ Santorini แล้ว ยังมีเกาะอื่นๆซึ่งมีชื่อเสียงอีก เช่นเกาะ Mykonos, Rhodes, Naxos, Paros เป็นต้น เมื่อขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองท่องเที่ยว สิ่งที่ตามมาคือค่าครองชีพที่ค่อนข้างสูง โดยเฉพาะบนเกาะ ซึ่งราคาสินค้าและที่พักจะแตกต่างจาก Main land อย่างชัดเจนครับ
เอาล่ะครับ เกริ่นข้อมูลของประเทศกรีซมาพอสมควรแล้ว เราจะมาเริ่มเดินทางกันเลย…
วันที่ 1: Manchester – Athens
อย่างที่ผมได้แจ้งไปข้างต้นว่าทริปนี้เป็นการเดินทางจากประเทศอังกฤษ ผมได้เริ่มต้นทริปจากสนามบินแมนเชสเตอร์ครับ ข้อได้เปรียบอีกอย่างจากการเริ่มต้นจากประเทศอังกฤษคือ มีตัวเลือกสายการบินมากกว่าการบินตรงจากไทย สายการบินที่บินระหว่างประเทศในยุโรปนั้นมีจำนวนมาก และในจำนวนนั้นก็มี Low cost airline อยู่ด้วย ซึ่งผมได้เช็คราคาแล้วก็เลือกสายการบิน Easyjet ซึ่งเป็นสายการบินของประเทศอังกฤษ โดยมีค่าใช้จ่าย 85 ยูโรต่อคน (one-way) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมง แต่ข้อเสียของสายการบิน Low cost คือตัวเลือกของเวลามีน้อย และส่วนใหญ่เดินทางแต่เช้า ซึ่งเวลาเดินทางของผมคือ เครื่องออกจากสนามบินแมนเชสเตอร์ 7.10 AM ตามเวลาท้องถิ่น และถึงเมือง Athens เวลา 1.10 PM (GMT+2)
สนามบิน Athens เป็นสนามบินที่ไม่ได้ใหญ่ และค่อนข้างเก่าครับ สภาพพอๆกับสนามบินภูมิภาคของบ้านเรา แต่สนามบินก็ยังมีสถานีรถไฟเพื่อนั่งรถต่อเข้าไปในตัวเมืองครับ โดยเรานั่งสายสีฟ้าจาก Athens International Airport ไปลงที่สถานี Monastiraki แล้วต่อสายสีเขียวไปลงสถานีปลายทาง Piraeus port รวมค่ารถไฟประมาณ 3.20 ยูโรต่อคน
ท่าเรือ Piraeus เป็นท่าเรือใหญ่ของ Athens เป็นท่าเรือสำคัญสำหรับการเดินทางจาก Main land ไปยังหมู่เกาะต่างๆ เมื่อมาถึงแล้วเราจะเข้าที่พัก เพื่อเก็บกระเป๋าและรอเดินทางไปยังเกาะ Santorini ในวันรุ่งขึ้น ซึ่งก่อนเดินทาง เราได้โทรนัดกับโรงแรมที่เราจองเอาไว้ เขาจะส่งรถมารอรับเราที่สถานี Piraeus ครับ ลักษณะของโรงแรมที่พักในเขตท่าเรือจะเป็นลักษณะนี้ทั้งหมด คือนักท่องเที่ยวจะมาพักระหว่างรอไปยังหมู่เกาะต่างๆ สถานที่ตั้งของโรงแรมก็จะกระจายไปตามตรอกซอกซอยต่างๆรอบท่าเรือ และแทบทุกโรงแรมจะมีบริการรถรับส่งแขกจากโรงแรมมายังท่าเรือครับ ดังนั้นการนัดเวลากับทางโรงแรมก่อนเดินทางนั้นสำคัญมาก และอย่าลืมจดเบอร์โทรติดต่อกับทางโรงแรมไว้ด้วยในกรณีฉุกเฉิน เช่น หาคนขับรถไม่เจอ หรือไฟลท์ดีเลย์ทำให้เวลาที่นัดไว้คลาดเคลื่อนไป
โรงแรมที่ผมเลือกคือ Phidias Piraeus Hotel (ไม่มีรีวิวนะครับ) พอเข้าที่พักแล้ว หากเราต้องการใช้บริการรถรับส่งจากโรงแรมไปยังท่าเรือในวันรุ่งขึ้น ต้องแจ้งกับทางโรงแรมไว้ล่วงหน้าด้วยครับ จุดนี้สำคัญมาก เพราะแขกส่วนมากก็จะขึ้นเรือรอบเดียวกัน ดังนั้นทางโรงแรมเขาจะต้องล็อคที่นั่งและล็อคเวลาสำหรับรับส่งนักท่องเที่ยวครับ ถ้าเราไม่ได้จองเอาไว้ อาจจะไม่มีรถและที่นั่งสำหรับพาเราไปท่าเรือในวันรุ่งขึ้น
ซึ่งตามแผนที่วางไว้เดิน เราจะถึงที่พักประมาณบ่ายสามโมงครับ เรายังพอมีเวลาเพื่อที่จะไปเที่ยวในเมือง Athens ซึ่งแน่นอนว่าไฮไลท์ของ Athens คือ วิหารพาร์เธนอนบนเนินเขาอะโครโปดิส แต่เนื่องจากคืนก่อนหน้าเราพักผ่อนน้อยมาก เพราะต้องตื่นแต่เช้ามืดเพื่อจะมาขึ้นเครื่องที่ Manchester ตอนเจ็ดโมงเข้า ประกอบกับสภาพอากาศที่แตกต่างกันพอสมควรระหว่างอังกฤษกับกรีซ ทำให้เราหมดแรง จึงยกเลิกการเที่ยววิหาร Parthenon ตามที่วางแผนไว้ แล้วเปลี่ยนหาร้านอาหาร Local ในบริเวณนั้นแล้วกลับไปพักผ่อนในที่พักแทน เพื่อรอการเดินทางในวันรุ่งขึ้น ซึ่งจะทรหดไม่แพ้วันแรกเลย
วันที่ 2: Piraeus Port – Santorini
หลังจากหลับสนิทเป็นตาย เราก็ต้องตื่นเช้าอีกวันครับ…
การเดินทางจาก Athens ไปยัง Santorini มีหลายวิธี ทั้งนั่งสายการบินภายในประเทศ (ซึ่งเราจะบินตอนขากลับ) แต่วิธีที่นิยมและเราจะขอแนะนำคือ นั่งเรือเฟอร์รี่ ตามที่เล่าไปก่อนหน้านี้ว่าประเทศกรีซเป็นประเทศท่องเที่ยว แหล่งทำเงินสำคัญคือหมู่เกาะต่างๆของประเทศ ดังนั้นจึงมีบริษัทเรือเฟอร์รี่หลายรายเปิดให้บริการนักท่องเที่ยวนั่งเรือจาก Main Land ไปยังเกาะ และนั่งจากเกาะไปยังเกาะอื่น โดยที่บริษัทเรือเฟอร์รี่ที่เราเลือกคือบริษัทชื่อ Blue star
บริษัท Blue star เปิดบริการเรือเฟอร์รี่จากท่าเรือ Piraeus ไปยังหมู่เกาะต่างๆ ของกรีซ มีหลากหลายเส้นทาง เส้นทางที่เราเลือกคือเส้นทาง Piraeus – Syros – Paros – Naxos – Ios – Santorini – Anafi จะเห็นว่ากว่าจะถึง Santorini จะมีการแวะก่อนอื่นอีกหลายเกาะ ซึ่งก็จะมีนักท่องเที่ยวบนเรือลงตามเกาะต่างๆ และก็จะมีนักท่องเที่ยวจากเกาะขึ้นมาบนเรือเพื่อไปยังเกาะต่อไปเช่นกัน ข้อดีของการนั่งเรือเฟอร์รี่คือ ราคาถูกกว่าการนั่งเครื่อง ค่าตั๋วระดับ Economy จากท่าเรือ Piraeus ไป Santorini ราคา 40 ยูโรต่อคน (one-way) เท่านั้น แต่ข้อเสียก็คือใช้เวลานานครับ เรือเฟอร์รี่จะออกจากท่าเรือ 7.25 AM และถึง Santorini เวลา 3.10 PM จะเห็นว่าเสียเวลาถึง 8 ชั่วโมงบนเรือเลยทีเดียว ซึ่งเราจะกล่าวถึงรายละเอียดบนเรือทีหลัง สำหรับท่านผู้ที่ต้องการใช้บริการต้องเข้าไปเช็ครอบเรือและจองตั๋วออนไลน์ในเวปไซด์ของ Blue star ก่อนเดินทางด้วยครับ
กลับมาที่โรงแรมอีกครั้ง เราตื่นตั้งแต่เช้าเพื่อมารับประทานอาหารเช้าที่โรงแรม ซึ่งรวมอยู่ใน room rate แล้ว โรงแรมบริเวณนี้จะเริ่มให้บริการอาหารเช้าแต่เช้ามืด เพราะแขกส่วนใหญ่จะต้องไปขึ้นเรือที่ท่าเรือในช่วง 6-8 โมงเช้า พอทานเสร็จเราก็เก็บสัมภาระแล้วนั่งรถบริการของทางโรงแรมที่เราได้จองไว้เพื่อไปที่ท่าเรือ ขณะที่เราออกจากโรงแรมตอนเช้าตรู่นั้นฟ้ายังไม่สว่างเลยครับ
ที่ท่าเรือ Piraeus ก็จะมีเรือเฟอร์รี่ขนาดใหญ่จอดอยู่หลายบริษัท เราต้องไปหาเรือของบริษัทที่เราจองให้เจอ (หาไม่ยาก) แล้วเจ้าหน้าที่เขาจะมานัดเวลาเรียกขึ้นเรือกับเราอีกที ระหว่างนี้เราอาจจะหาซื้ออาหารตุนไว้เพื่อทานบนเรือได้ครับ เมื่อถึงเวลาเจ้าหน้าที่ก็จะประกาศเรียกขึ้นเรือ ส่วนสัมภาระก็ลากไปติดตัวด้วย
เรือเฟอร์รี่เป็นเรือขนาดใหญ่ จุคนได้กว่า 2,000 คน รวมทั้งรถยนต์ยานพาหนะอื่นๆด้วย ซึ่งที่นั่งบนเรือก็จะมีโซนสำหรับตั๋วระดับต่างๆคล้ายสายการบิน คือ Economy, Business Class และชั้นที่สูงขึ้นไป ความแตกต่างก็คือ Economy จะไม่มีล็อกที่นั่ง แต่สามารถไปนั่งได้ตามโซนต่างๆของเรือที่ซึ่งกว้างและหรูหราเลยทีเดียว ส่วนชั้นอื่นที่สูงกว่าจะมีห้องและที่นั่งประจำให้ บนเรือก็จะมีร้านอาหาร บาร์ ฟู้ดคอร์ด และสันทนาการอื่นๆให้บริการ ส่วนราคาก็จะสูงกว่าปกติ เราแนะนำว่าให้หาที่นั่งจองก่อนเป็นอันดับแรก เพราะเราจะมีสัมภาระติดตัวมาด้วย หากมาเป็นกลุ่ม ถ้าจะมีไปไหนมาไหนก็ควรแบ่งคนไว้เฝ้าที่และเฝ้าสัมภาระด้วย คนที่เมาเรือไม่ต้องกังวลเพราะเรือขนาดใหญ่ แทบไม่รู้สึกถึงแรงกระแทกจากคลื่นลมเลย พอเรือแวะจอดที่เกาะต่างๆ ก็จะมีเสียงประกาศออกมา นักท่องเที่ยวที่ต้องการจะลงก็จะขนสัมภาระไปที่ทางออก เนื่องจากการเดินทางของเรากินเวลานานถึง 8 ชั่วโมง เราจึงพอมีเวลาได้หลับต่อบนเรืออีกพักใหญ่
ผ่านไป 8 ชั่วโมงในที่สุดเราก็มาถึงเกาะ Santorini ซึ่งผู้โดยสารของเรือลำนี้ส่วนใหญ่ก็จะลงที่ Santorini นี่
เมื่อลงจากเรือเฟอร์รี่แล้ว ความยากลำบากจะเกินขึ้นหลังจากจุดนี้ครับ! เนื่องจากท่าเรือของเกาะ Santorini จะอยู่ด้านล่างเกาะ แต่ที่พักทั้งหมดของเกาะจะอยู่ด้านบนยอดเขาของตึก การเดินทางจากท่าเรือไปยังที่พักจะต้องนั่งรถขึ้นไป ซึ่งโรงแรมแทบทุกโรงแรมจะมีบริการรถ Shuttle bus จากท่าเรือขึ้นไปยังที่พัก แต่ทว่าด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวหลักพันคน และจำนวนโรงแรมหลายร้อยคน ทำให้การหาจุดจอดรถบัสเป็นไปด้วยความยากลำบาก วิธีการหารถบัสคือ คนขับรถจะมาถือป้ายชื่อโรงแรมแล้วตะโกนชื่อโรงแรม นักท่องเที่ยวจะต้องมองหาโรงแรมของตัวเองให้เจอ! ถ้าเป็นโรงแรมใหญ่ๆ เขาก็จะมีรถคันใหญ่คันเดียว ส่วนโรงแรมเล็กๆ เขาจะใช้วิธีการรวมตัวกันแล้วจ้างรถคันเดียว คือรถคันเดียวไปส่งหลายโรงแรม ซึ่งก็จะหายากเข้าไปอีก อย่างที่เคยแนะนำไว้ว่าจะต้องมีเบอร์โทรของทางโรงแรมเอาไว้เผื่อฉุกเฉินในกรณีหาคนขับรถไม่เจอด้วยครับ ซึ่งปกติแล้วคนขับรถจะได้ลิสต์รายชื่อแขกจากทางโรงแรมไว้ก่อนแล้ว เขาก็จะคอยเช็คชื่อว่ารับแขกครบไหม ถ้าไม่ครบก็จะไม่ออก คันไหนครบแล้วก็จะไปก่อน
เมื่อรถของเราครบแล้วก็จะขึ้นเขาไปยังที่พัก ซึ่งจุดทางขึ้นเขานี่น่ากลัวมากครับ เป็นเขาทางชันบนหน้าผา แล้วรถทุกคันขับเรียงต่อกัน (จุดนี้ไม่มีรูปประกอบนะครับ เนื่องจากผมกลัวความสูง แค่มองวิวนอกหน้าต่างก็ไม่กล้าแล้ว) ใช้เวลาพอสมควรครับ เพราะขึ้นเขาทางชัน รถส่วนใหญ่เป็นรถใหญ่ ทำให้ต้องค่อยๆขับและใช้เวลา ผ่านมาเกือบชั่วโมง เราก็มาถึงที่พักของเราครับ
ก่อนจะเข้าที่พักจะขอเล่าเกร็ดของเกาะ Santorini เล็กน้อยครับ เกาะ Santorini เป็นเกาะที่อยู่บนที่สูง บนเกาะแห้งแล้ง ไม่ได้มีพืชเขียวขจีแบบเกาะบ้านเรา แต่สิ่งทดแทนที่เขามีคือสถาปัตยกรรม บ้านเรือนของเขาทั้งหมดเป็นบ้านสีขาว เนื่องจากกรีซอยู่ในเขตร้อน บ้านสีขาวจะช่วยลดความร้อนภายในบ้านได้ รวมกับหลังคาสีน้ำเงิน ทำให้เป็นสีน้ำเงิน-ขาว ล้อกับสีธงชาติของประเทศกรีซพอดี ทำให้กลายเป็นเอกลักษณ์ของเกาะแห่งนี้ จนภายหลังถึงกับมีการออกกฎที่ว่าบ้านหลังใหม่ที่สร้างบนเกาะ Santorini จะต้องทาสีขาวเท่านั้น
เกาะ Santorini ยังขึ้นชื่ออีกว่าเป็นเกาะที่มีพระอาทิตย์ตกดินสวยที่สุดในโลก ทำให้บรรดาที่พักและความเจริญทั้งหมดแห่กันมาอยู่ฝั่งตะวันตกของเกาะครับ ฝั่งตะวันออกแทบจะไม่มีอะไร ที่พักด้านฝั่งตะวันออกก็จะถูกกว่าฝั่งตะวันตกมาก ช่วง High season ของการท่องเที่ยว Santorini คือหน้าร้อน อยู่ระหว่างเดือน มิถุนายน ถึง กันยายน
อย่างที่ทราบว่า Santorini เป็นเกาะที่มีชื่อเสียงอันดับต้นๆของโลก ดังนั้นที่พักบนเกาะนี้จึงค่อนข้างแพง ที่พักของเราบนเกาะนี้คือ Irinis Villa Resort (อ่านรีวิวเต็มที่พักได้ที่ [Hotel] Irinis Villa Resort – Santorini) ซึ่งอยู่ในหมู่บ้าน Imerovigli (ตั้งอยู่ระหว่าง Oia และ Fira) เราเลือกที่พักที่นี่เนื่องจากเป็นที่พักบนฝั่งตะวันตก มีระเบียงส่วนตัวหน้าห้องนอนสำหรับชมวิวพระอาทิตย์ตกดิน และราคาสมเหตุสมผล แต่ว่าก็ยังมีเรื่องเข้าใจผิดจากเวป booking.com ซึ่งอ่านรายละเอียดปัญหาได้ในรีวิว สรุปคร่าวๆก็คือจองโรงแรมนึง แต่พาไปอยู่อีกที่นึง แต่โดยรวมแล้วก็ยังพอใจอยู่
กว่าเราจะถึงก็ค่อนข้างเย็นแล้ว ประกอบกับนั่งรถมาไกล เราจึงเลือกที่จะเดินเล่นในบริเวณหมู่บ้าน และรับประทานอาหาร Local ในหมู่บ้านและชมพระอาทิตย์ตกดินที่ระเบียงที่พักครับ
วันที่ 3: Oia, Santorini World’s Best Sunset
วันที่ 3 นี้เราจะพาไปเที่ยวไฮไลท์ของเกาะ Santorini ซึ่งนั่นก็คือหมู่บ้านที่ชื่อ Oia
Oia (อ่านว่า เอีย) เป็นหมู่บ้านตอนบนของเกาะ Santorini นักท่องเที่ยวจากทุกมุมโลกต้องมาชมพระอาทิตย์ตกดินที่นี่ หากไม่ได้มา Oia ก็เหมือนมาไม่ถึง Santorini
ก่อนที่เราจะไปที่ Oia จะขอเล่าเกี่ยวกับการเดินทางบนเกาะสักเล็กน้อย…
Santorini เป็นเกาะไม่ใหญ่มาก ทางเดินรถวิ่งรอบเกาะ มีรถ Shuttle Bus (เรียกว่า KTEL) คอยให้บริการนักท่องเที่ยว โดยจะวิ่งรอบเกาะเป็นวงกลม จอดตามหมู่บ้านใหญ่ๆ ค่าบริการก็จะตกประมาณ 1-2 ยูโรต่อครั้ง ให้บริการถึงเที่ยงคืนทุกวัน (บางเวปบอกว่าช่วงฤดูร้อนวิ่งถึง 3.00 AM) สำหรับรอบเวลารถก็สามารถเช็คได้ในเวปไซด์ของ KTEL
แต่ถ้าหากไม่อยากเสียเวลา จะเลือกเช่ารถยนต์ หรือ Motorbike (วัยรุ่นฝรั่งนิยมมาก) ก็มีเปิดให้บริการหลายบริษัทเช่นกัน โดยราคาก็จะประมาณ 25-35 ยูโรต่อวัน แล้วแต่ High-Low season ในส่วนของผมนั้นเลือกที่จะเดินทางโดยใช้รถบัสสาธารณะครับ
ใช้เวลาพอสมควรจาก Imerovigli ในที่สุดเราก็มาถึง Oia
ที่ Oia มีสถานีรถบัสที่ใหญ่พอควรครับ จำจุดจอดรถบัสให้ดี ขากลับเราจะต้องกลับมาขึ้นบริเวณนี้อีก ในหมู่บ้าน Oia ส่วนใหญ่จะเป็นโรงแรมที่พัก, ร้านอาหาร, ร้านของขายที่ระลึก ซึ่งการท่องเที่ยวในเขตหมู่บ้านนี้สามารถเดินเล่นได้ทั้งวัน แต่มีอยู่ 3 จุดซึ่งเป็นจุดแนะนำว่าต้องห้ามพลาด
จุดแรกคือโบสถ์ซึ่งมีชื่อว่า Church of Panagia ซึ่งโบสถ์แห่งนี้หาได้ง่ายมาก เพราะเดินตรงมาจากจุดจอดรถบัสก็จะเห็นเลย
จุดที่สอง คือโดมหลังคาสีน้ำเงิน ซึ่งเป็นจุดสัญลักษณ์อีกจุดของ Santorini เป็นมุมประจำที่หาได้ตามโปสการ์ด ท่านช่างภาพทั้งหลายต้องห้ามพลาด
[GPS: Latitude: 36.461465 Longitude: 25.375176]
จุดที่สาม เป็นมุมบังคับของที่นี่ เป็นจุดที่จะถ่ายภาพตึกสีขาวของ Santorini ได้ชัดเจนที่สุด และก็สามารถ่ายมองพระอาทิตย์ตกดินได้จากจุดนี้ ซึ่งบริเวณนี้เป็นซากตึกเก่าที่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวเข้าไปได้ ถ้าต้องการจะถ่าย อาจจะต้องไปจองที่แต่เนิ่นๆ เพราะช่วงเวลาพระอาทิตย์ตกดิน จะเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวและช่างภาพ เอาขาตั้งกล้องมาจับจองพื้นที่กันเต็มไปหมด
(Photo from pastlifeseamstress.com)
ภาพที่ได้จะเป็นมุมนี้ (มุมบังคับของ Santorini ถ้าไม่ได้มาถ่ายที่มุมนี้ เหมือนมาไม่ถึง Santorini)
พอได้ภาพจุดนี้จนพอใจ เราก็ไปหานั่งรอเวลาเวลาพระอาทิตย์ตกดิน เพื่อจะรอชม “พระอาทิตย์ตกดินที่สวยที่สุดในโลก”
พอเริ่มมืด ตึกอาคารก็จะเริ่มเปิดไฟ ทำให้สวยไปอีกแบบ
พอเอารูปทั้ง 3 สามช่วงเวลา จะเห็นว่าสวยงามไหคนละแบบ กินกันไม่ลงจริงๆ
นักท่องเที่ยวก็จะยืนอยู่บริเวณนั้นจนมืด (ขอเตือนไว้หน่อยว่าบริเวณนั้นพอเริ่มดึก ลมทะเลจะค่อนข้างแรงครับ ) พอพระอาทิตย์ตกดินแล้ว คนก็จะแห่กลับกัน ซึ่งฝูงชนก็จะไปเบียดเสียดกันที่สถานีรถบัส (เริ่มอิจฉาพวกเช่ารถก็ตอนนี้) ใช้เวลาอยู่พอสมควรกว่าจะได้ขึ้นรถ โชคดีที่ที่พักของเราห่างจาก Oia เพียงแค่สถานีเดียวครับ
วันที่ 4: Fira, Capital Town of Santorini
วันที่ 4 นี้เราไม่ต้องตื่นเช้ามากครับ ตื่นสายสบายๆ แล้วนั่งรถเมลล์จาก Imerovigli ไป Fira เพียงป้ายเดียวเท่านั้น
Fira นั้นถือว่าเป็นศูนย์กลางความเจริญของเกาะ Santorini เป็นหมู่บ้านที่ใหญ่ที่สุด เต็มไปด้วยโรงแรมที่พัก, ร้านค้า, ร้านอาหาร, ร้านขายของที่ระลึก หมู่บ้านแห่งนี้ตั้งอยู่บนหน้าผา มีลักษณะลาดไปตามเนินเขาของเกาะเช่นเดียวกับหมู่บ้านอื่น ที่นี่ยังมีกระเช้าให้นั่งจากด้านบนของหมู่บ้านลงไปยังชายฝั่งริมทะเลด้านล่าง เพื่อต่อเรือไปหมู่บ้านอื่นเช่น Oia ได้อีกด้วย
ก่อนจะออกเที่ยวเราก็ต้องเติมพลังกันก่อน ร้านอาหารของเราในมื้อแรกของวัน เป็นร้าน local ที่เราเดินผ่าน เห็นสภาพร้านดูดี ราคาไม่โอเว่อร์ อาหารที่เราสั่งคือ Souvlaki เป็นอีกหนึ่งอาหารขึ้นชื่อของประเทศกรีซ คำว่า Souvlaki แปลว่า Stew เป็นเนื้อ หรือหมู หรือไก่ก็ได้ เสียบไม้แล้วย่างไฟ ทานคู่กับแผ่นแป้ง Pita และมันฝรั่งทอด เพิ่มเติมด้วยมะเขือเทศ หอมแดง และซอส tzatziki รสชาติของหมูย่างคล้ายๆกับหมูย่างบ้านเรา แต่เหมือนจะหมักด้วยเครื่องเทศที่รสชาติเข้มข้นกว่า ทานคู่กับเครื่องเคียงอื่นๆแก้เลี่ยนได้ดี โดยเฉพาะ tzatziki หรือกรีกโยเกิร์ต ที่มีส่วนผสมของแตงกวาและกระเทียม ผสมกันออกมาแล้วรสชาติกลมกล่อมครบถ้วน ถือว่าเป็นอาหารประจำชาติที่อร่อยและหาได้ง่ายๆทั่วไป แนะนำว่าใครมาเที่ยวกรีซต้องอย่าลืมหา Souvlaki ทานให้ได้
พอเติมพลังกันเสร็จแล้ว ก็ได้เวลาเดินสำรวจหมู่บ้าน ความน่าประทับใจของ Santorini อีกอย่าง คือ มีมุมถ่ายรูปสวยๆ น่ารักเต็มไปหมด ไม่ว่าคุณจะถ่ายรูปคู่กับกำแพง ประตู หน้าต่าง ทางเดิน ร้านค้า ก็ดูออกมาน่ารักไปหมด สีขาวของตึก ตัดกับสีฟ้าของท้องฟ้า และสีครามของน้ำทะเล เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของ Santorini
จุด Landmark ของหมู่บ้าน Fira ที่อยากแนะนำคือ โบสถ์ St John the Baptist เป็นวิหารแคทอลิคเก่าแก่ที่สร้างในปี 1823 และได้ถูกบูรณะใหม่ในปี 1970 หลังจากได้รับความเสียหายจากเหตุแผ่นดินไหวในช่วงยุคกลางศตวรรษที่ 90 ตัวอาคารเป็นวิหารสไตล์บาโรค พื้นสีครีมแซมด้วยสีเทาและสีฟ้า มีหอนาฬิกา ค่อนข้างโดดเด่นท่ามกลางอาคารสีขาวของ Santorini ในวันที่เราไปนั้นวิหารปิดไม่อนุญาตให้บุคคลภายนอกเข้าไป เราจึงไม่ได้เก็บภาพภายในวิหารกลับมาด้วย
เราหมดเวลาส่วนใหญ่ในหมู่บ้านนี้ไปกับการเดินเล่น ดูของที่ระลึก ถ้าเทียบกับ Oia แล้ว ที่นี่จะคึกคักกว่า ผู้คนหนาแน่นกว่า และตึกอาคารจะมีสีสันมากกว่าหมู่บ้านอื่น เช่น อาคารมีสีครีม สีเหลือง สีส้ม เพิ่มเข้ามาบ้าง จากนั้นเราจะพาไปลองนั่งกระเช้าเพื่อลงไปริมชายหาดด้านล่างกัน
อย่างที่ทราบกัน หมู่บ้าน Fira เป็นหมู่บ้านที่ตั้งอยู่บนหน้าผาสูง 800 ฟุตจากระดับน้ำทะเล ดังนั้นจะมีทางสำหรับลงไปด้านล่าง วิธีที่นิยมก็คือการนั่งกระเช้าลงไป โดยการนั่งกระเช้าจะมีรอบทุกๆ 20 นาที และใช้เวลาประมาณ 3 นาทีจากข้างบนถึงข้างล่าง โดยมีอัตราค่าบริการคนละ 5 ยูโรต่อคนต่อเที่ยว
บริเวณด้านล่างนี้จะเป็นท่าเรือเก่า (Old Port) ซึ่งยังมีเรือให้บริการนั่งท่องเที่ยวจากเกาะอื่นมายังเกาะ Santorini เช่นกัน และนักท่องเที่ยวเหล่านี้ก็จะนั่งกระเช้าจากท่าเรือขึ้นไปยังหมู่บ้าน Fira เพื่อต่อรถไปยังหมู่บ้านอื่นหรือที่พักต่อไป
ขากลับ เราอยากจะลองอะไรใหม่ๆ ซึ่งนั่นก็คือ การขี่ลา!
ลาเป็นสัตว์ประจำเกาะ Santorini จะเห็นตุ๊กตาลาขายอยู่ทั่วไป นั่นเพราะก่อนที่ความเจริญจะเข้ามา ลาเป็นสัตว์พาหนะสำคัญที่ใช้ในการลากจูง, บรรทุกสัมภาระ เป็นจำเกาะ ไม่ใช่เฉพาะ Santorini หรือกรีซเท่านั้น ประเทศอื่นในแถบยุโรปใต้เช่น อิตาลี ก็นิยมใช้ลาเช่นกัน
Donkey Taxi มีค่าบริการตก 5 ยูโรต่อคนต่อเที่ยว เท่ากันกับนั่งกระเช้า แต่ว่าท่านจะได้รับประสบการณ์ที่แตกต่างออกไป เพราะลาจะวิ่งพาท่านไต่เขาชัน ทางเป็นบันไดค่อนข้างชันกว่าระดับก้าวของคนธรรมดา ค่อนข้างหวาดเสียว และลาบางครั้งเหนื่อยก็จะหยุดกินหญ้าข้างทาง หรือหยุดอุจจาระเป็นต้น สองข้างทางนอกจากจะเห็นวิวหน้าผาแล้ว เราก็จะได้กลิ่นอุจจาระลารบกวนตลอดเวลา แต่เราจะลองประสบการณ์ของคนท้องถิ่นก็ต้องทนต่อไป บางครั้งน้องลาจะหยุดเป็นเวลานาน จนเจ้าหน้าที่จะต้องขี่ลาอีกตาตามมาไล่ฝูงลาที่หยุดอู้ พอลาโดนไล่ ก็จะกระโจนพรวดต่อไปด้วยความเร็วสูง ผู้โดยสารก็จะต้องเกาะลาให้แน่น ไม่งั้นโดนทิ้งตกหลังลาได้ง่ายๆ สักพักเราก็กลับมาถึงหมู่บ้านด้านบนด้วยสภาพเหงื่อแตกด้วยความหวาดเสียวและตื่นเต้น แนะนำว่าสำหรับผู้ที่ไม่ชอบความตื่นเต้นหรือกลัวความสูงควรหลีกเลี่ยง แต่ถ้าหากท่อนชอบความ Extreme การใช้บริการ Donkey taxi เป็นอีกประสบการณ์ที่ควรลองเมื่อมาถึง Fira, Santorini
ถ้าหากท่านไม่ต้องการจะกลับขึ้นด้านบนด้วยการนั่งกระเช้าหรือขี่ลา การเดินขึ้นก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือก แค่ความสูงกว่า 800 ฟุต หรือเดินขึ้นบันไดกว่า 600 ขั้นเท่านั้นเอง!
จากนั้นเราหาอาหารรับประทาน ก่อนกลับไปพักผ่อนและชมพระอาทิตย์ตกดินที่ที่พัก
วันที่ 5: Αντίο (Goodbye) Santorini
วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่เราจะอยู่ที่ Santorini แล้วนะครับ ก่อนอื่นต้องขอเล่าถึงแผนการเดินทางของผมก่อน…
ต่อจากประเทศกรีซ ผมจะไป Budapest ประเทศฮังการี่เป็นรายการต่อไป เราได้จองตั๋วเครื่องบินเป็นรอบเช้าของวันถัดไป เดิมทีเราวางแผนที่จะนั่งเรือเฟอร์รี่กลับไปนอนค้างคืนที่โรงแรมแถวท่าเรือ Piraeus ตามเดิม แต่ทว่ารอบเรือของ Blue Star นั้นจะออกจาก Santorini เวลา 3.30 PM และถึงท่าเรือ Piraeus เวลา 11.25 PM ซึ่งค่อนข้างดึก และเสียเวลาอยู่บนเรือเป็นเวลานานกว่า 8 ชั่วโมง ประกอบกับโชคดี เราพบตั๋วราคาโปรของสายการบิน Aegean Air ซึ่งเป็นสายการบินภายในประเทศของกรีซ ราคาเพียงคนละ 28 ยูโร เท่านั้น ถูกกว่าค่าเรือเฟอร์รี่อีก (40 ยูโรต่อคน) แถมใช้เวลาเพียง 45 นาทีเอง
เราจึงไม่รอช้า เปลี่ยนแผนการเดินทางเป็นออกจากที่ Santorini ในเวลาเย็น และไปถึงสนามบิน Athens ก่อนจะหาแท็กซี่ไปโรงแรมใกล้สนามบิน เพื่อค้างคืนรอเวลาต่อเครื่องในรุ่งเช้าแทน
ผลของการเปลี่ยนแผนการเดินทาง ทำให้เรามีอยู่ต่อบนเกาะเพิ่มขึ้นอีก 4 ชั่วโมง อันที่จริงแล้ว แผนการเดินทางของเราในวันนี้ เป็นเหมือนวันว่าง เอาไว้เผื่อวันใดใน 3 วันก่อนหน้านี้มีสภาพอากาศไม่เป็นใจ ทำให้เราอดได้ภาพจากหมู่บ้านส่วนไหน เราจะใช้วันว่างนี้เป็นวันไปเที่ยวใหม่ หรือถ่ายรูปซ่อมอีกครั้ง แต่เนื่องจาก 3 วันก่อนหน้านี้อากาศเป็นใจ และเราพอใจในภาพที่ได้มาแล้ว ทำให้เรามีเวลาเหลือ เราเลยเลือกที่จะพาไปเดินเล่นในโรงแรมที่พักอีกส่วนหนึ่งแทน ซึ่งเราได้กล่าวไว้อย่างละเอียดในรีวิวที่พัก ท่านสามารถอ่านรีวิวฉบับเต็มได้ที่ [Hotel] Irinis Villa Resort – Santorini
เนื่องจากเนื้อหาของวันสุดท้ายนั้นเป็นการรีวิวที่พักทั้งหมด และเนื้อหาจะซ้ำกับที่เขียนไปในรีวิวฉบับเต็ม เราจึงของข้ามการเล่าการเดินทางของเราช่วงกลางวันออกไป โดยจะข้ามไปถึงการเดินทางจากที่พักไปสนามบิน Santorini เลย
โดยปกติที่พักหลายแห่งของ Santorini จะมีบริการ Shuttle bus รับส่งผู้โดยสารจากโรงแรมไปยังท่าเรือ แต่ทว่าไม่มีบริการส่งผู้โดยสารจากโรงแรมไปยังสนามบิน ซึ่งจะต้องนั่งแท็กซี่ไป โดยถ้าให้โรงแรมเรียกแท็กซี่ให้จะเป็นราคา fix rate เนื่องจากตอนเขียนรีวิวนี้ผ่านจากช่วงเวลานั้นมานาน และผมไม่ได้เก็บข้อมูลเอาไว้ว่าค่าแท็กซี่จากที่พักไปยังสนามบินเท่าไหร่ หากท่านต้องการทราบข้อมูล แนะนำให้อีเมลล์ไปถามทางโรงแรม เนื่องจากโรงแรมแต่ละแห่งจะอยู่ใกล้ไกลจากสนามบินต่างกัน อาจทำให้เรตค่าแท็กซี่ของแต่ละที่แตกต่างกัน
อีกอย่างที่จะแนะนำนักท่องเที่ยวทุกท่าน ไม่ว่าจะไปเที่ยวไหน พักที่ใด แล้วต้องการให้ทางโรงแรมเรียกรถแท็กซี่ให้ ควรแจ้งกับทางโรงแรมล่วงหน้าก่อนอย่างน้อย 1 วัน เพื่อโรงแรมจะได้มีเวลาจัดสรรแท็กซี่ให้ท่าน
ในตอนนั้นเราก็แจ้งกับทางโรงแรมไว้เช่นกัน นัดแนะเวลารับให้เรียบร้อย แล้วเราก็มานั่งรอรถแท็กซี่บริเวณโรงแรม รถแท็กซี่ที่มารับเป็นรถโดยสารกึ่งรถตู้ มีที่เพียงพอสำหรับวางสำภาระ ใช้เวลานั่งไม่นานก็ถึงสนามบิน Santorini
สนามบินบนเกาะ Santorini เป็นสนามบินขนาดเล็ก มีหลายท่านคงสงสัยว่ามีสายการบินอะไรบ้างที่บินถึงเกาะ Santorini
สายการบินที่บินถึงสนามบิน Santorini ส่วนใหญ่จะเป็นสายการบินในประเทศ รวมถึงสายการอื่นอื่นๆ ในยุโรป และส่วนใหญ่จะบินจาก Santorini ไป Athens จะมีบ้างที่บินตรงจากเมืองใหญ่ๆ เช่น Paris, Amsterdam, Zurich หรือบินจาก Santorini ไปเกาะ Mikonos ก็มีเช่นกัน ท่านสามารถเช็คข้อมูลอัพเดตของสายการบินที่บินตรงไปยังเกาะ Santorini ได้จากเวป www.santorini-airport.com
ตอนนั้นไฟลท์ของเราออกจากเกาะ Santorini เวลา 7.55 PM ใช้เวลา 45 นาทีก็ถึงสนามบิน Athens
เมื่อถึงสนามบิน เราก็เรียก Taxi airport ไปยังโรงแรมใกล้สนามบินที่เราจองเอาไว้….
ในส่วนของการเดินทางต่อจากนี้ จะเล่าต่อใน Part Budapest นะครับ ท่านสามารถอ่านต่อได้ที่นี่
ก่อนจะขอจบ Journey Santorini ต้องขอสรุปก่อนว่า Santorini ควรเป็นเกาะที่คู่ควรต่อการมาเยี่ยมสักครั้งในชีวิต สิ่งที่ผมประทับใจของเกาะนี้ก็คือ การรังสรรค์ของมนุษย์ เกาะ Santorini เพียงลำพังนั้นแห้งแล้ง ไม่ได้มีพืนป่าปกคลุมเหมือนเกาะทางภาคใต้บ้านเรา เกาะเป็นหน้าผาสูงชัน รายล้อมไปด้วยน้ำทะเล
แต่สิ่งที่เนรมิตเกาะ Santorini ขึ้นมานั้นคือ “มนุษย์”… การสร้างอาคารสิ่งปลูกสร้างที่มีเอกลักษณ์ ทำให้ Santorini นั้นไม่เหมือนใคร (เรียกง่ายๆว่า มี Theme นั่นเอง)
ภาพที่ผมชอบที่สุดของการเดินทางในครั้งนี้ คือภาพพระอาทิตย์ตกดินที่ Oia ซึ่งคำกล่าวที่ว่า “พระอาทิตย์ตกดินที่สวยที่สุดในโลก” นั้นไม่ได้เกินความจริงเลย… เราจะได้เห็นความสวยงามจากการสรรสร้างของมนุษย์ คือ ตึกอาคารสีขาว ยืนตระง่านเคียงคู่กับแสงสีส้มของอาทิตย์อัสดงและเงาสะท้อนของน้ำทะเล เรียกได้ว่า ทั้งสองสิ่งประชันความงามกันอย่างไม่ยอมน้อยหน้าใคร
การเดินทางนี้ให้แง่คิดในเรื่องของการมุ่งมั่นสร้างสรรค์ผลงานให้เป็นเอกลักษณ์ จากเกาะแห้งๆเกาะหนึ่ง กลายมาเป็นเกาะที่สวยงามมีเอกลักษณ์ระดับโลก หากเรามุ่งมั่นที่จะสร้างสิ่งใดแล้ว ขอให้โดดเด่นและแตกต่าง แม้จะเริ่มจากศูนย์ แต่อย่าท้อแท้ สักวันคุณอาจจะสร้าง Santorini ของตัวเองขึ้นได้!
สรุปการเดินทางโดยคร่าวๆ
นั่งเครื่องจากเมือง Manchester ประเทศอังกฤษ ไปลงสนามบินที่ Athens ประเทศกรีซ แล้วนั่งเรือเฟอร์รี่ต่อจากท่าเรือ Piraeus กินเวลาประมาณ 8 ชั่วโมง เพื่อยังที่เกาะ Santorini แล้วนั่ง Shuttle bus ของโรงแรมเข้าที่พัก การเดินทางบนเกาะผมเลือกนั่งรถบัสสาธารณะ จุดชมวิวที่ห้ามพลาดคือหมู่บ้านชื่อ Oia ส่วนหมู่บ้านที่ใหญ่ที่สุดคือ Fira ขากลับเลือกนั่งเครื่องกลับ Athens เพื่อประหยัดเวลา แล้วต่อเครื่องไปยัง Budapest สำหรับการเดินทางต่อไป |